Skip to content

ติดโซล่าชาร์จรถ EV ที่บ้าน คุ้มจริงไหม? เช็ค 4 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนติดตั้ง

    ติดโซล่าชาร์จรถ EV

    ติดโซล่าชาร์จรถ EV ที่บ้าน คุ้มจริงไหม? เช็ค 4 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนติดตั้ง

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนรุ่นใหม่ การ ติดโซล่าชาร์จ หรือระบบโซลาร์เซลล์ที่บ้านสำหรับชาร์จรถ EV กำลังกลายเป็นเทรนด์มาแรง ทั้งในแง่ของ ความประหยัด ค่าไฟลดจริง และ การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน

    แต่ก่อนตัดสินใจติดตั้ง เราควรเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง? วันนี้เราจะพาคุณมารู้จัก 4 เรื่องสำคัญ ที่ต้องรู้ก่อนติดโซล่าชาร์จที่บ้าน เพื่อให้คุ้มค่า ปลอดภัย และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด

    1. ติดโซล่าชาร์จแล้ว “ประหยัดค่าไฟ” ได้จริงแค่ไหน?

    ติดโซล่าชาร์จ

    การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่บ้านสามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้จริง โดยเฉพาะในระยะยาว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของระบบโซลาร์เซลล์ พฤติกรรมการใช้งาน และการออกแบบระบบที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

    ประหยัดค่าไฟได้มากน้อยแค่ไหน?

    โดยเฉลี่ย รถ EV หนึ่งคันต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการชาร์จประมาณ 12–20 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อวัน หรือ 360–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อเดือน หากคิดอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 4.5–5.0 บาทต่อหน่วย ค่าใช้จ่ายในการชาร์จรถ EV จะอยู่ที่ประมาณ 1,600 – 3,000 บาทต่อเดือน

    การติดตั้งโซลาร์เซลล์สามารถช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้า โดยเฉพาะเมื่อใช้ระบบ Hybrid พร้อม EV Charger ซึ่งสามารถ:

    • ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์โดยตรงในช่วงกลางวัน
    • เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่เพื่อชาร์จในช่วงกลางคืน
    • ลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 70–90%

    ระบบโซลาร์เซลล์ที่เหมาะสมกับการใช้งานร่วมกับรถ EV

    • ระบบ Hybrid: มีแบตเตอรี่เก็บพลังงาน ใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
    • EV Charger ที่รองรับพลังงานแสงอาทิตย์: ชาร์จได้รวดเร็ว ปลอดภัย และควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน
    • แผงโซล่าคุณภาพสูง: เช่น LONGi, Jinko เพื่อให้ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ

    คำนวณความคุ้มค่าเบื้องต้น

    รายการ

    ค่าใช้จ่ายปกติ (บาท/เดือน)

    ค่าใช้จ่ายเมื่อมีโซลาร์เซลล์ (บาท/เดือน)

    ประหยัดได้ (บาท/เดือน)

    ค่าไฟสำหรับชาร์จรถ EV

    2,500

    300–500

    ประมาณ 2,000

    การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จรถ EV ที่บ้านเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

    2. ตรวจสอบระบบไฟบ้านก่อนติดตั้ง

    การตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านก่อนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การติดตั้งเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยควรพิจารณาดังนี้:

    1. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้าน

    • ประเภทของระบบไฟฟ้า: บ้านส่วนใหญ่ในประเทศไทยใช้ระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส แต่หากมีการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น การชาร์จรถ EV อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนเป็นระบบ 3 เฟส เพื่อรองรับโหลดไฟฟ้าที่มากขึ้น
    • ความสามารถของตู้ไฟฟ้า (Main Breaker): ตรวจสอบว่าตู้ไฟฟ้ามีความสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าจากระบบโซลาร์เซลล์และเครื่องชาร์จ EV ได้หรือไม่ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาต

    2. ประเมินความพร้อมของโครงสร้างหลังคา

    • ความแข็งแรงของหลังคา: ตรวจสอบว่าโครงสร้างหลังคาสามารถรองรับน้ำหนักของแผงโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่ โดยทั่วไป แผงโซลาร์เซลล์มีน้ำหนักประมาณ 15-20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
    • ทิศทางและมุมเอียงของหลังคา: หลังคาที่หันไปทางทิศใต้และมีมุมเอียงประมาณ 10-15 องศา จะได้รับแสงแดดมากที่สุดในประเทศไทย

    3. การขออนุญาตติดตั้ง

    • หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง:
    • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: เช่น สำนักงานเขต หรือเทศบาล เพื่อขออนุญาตปรับปรุงอาคารหากจำเป็น
    • คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.): สำหรับการแจ้งขอยกเว้นการรับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า หากระบบมีขนาดไม่เกิน 1,000 กิโลวัตต์
    • การไฟฟ้านครหลวง (MEA) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA): เพื่อตรวจสอบและอนุมัติการเชื่อมต่อระบบโซลาร์เซลล์กับโครงข่ายไฟฟ้า

    4. การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger)

    • กำลังไฟฟ้าที่รองรับ: ตรวจสอบว่าเครื่องชาร์จ EV ที่จะติดตั้งมีความสามารถรองรับกำลังไฟฟ้าจากระบบโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่
    • ระบบป้องกันไฟฟ้า: ควรติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ารั่ว (RCD) และสายดิน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

    5. การเลือกผู้ติดตั้งที่มีความเชี่ยวชาญ

    • ประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมา: เลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์และเครื่องชาร์จ EV โดยสามารถตรวจสอบผลงานที่ผ่านมาได้
    • การรับประกันและบริการหลังการขาย: ตรวจสอบว่าบริษัทมีการรับประกันอุปกรณ์และบริการหลังการขายที่ชัดเจนหรือไม่

    การตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านและการเตรียมความพร้อมก่อนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน

    3. ตำแหน่งแผงโซล่าคือหัวใจของระบบ

    การเลือกตำแหน่งและทิศทางของแผงโซลาร์เซลล์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร การวางแผงให้เหมาะสมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของระบบได้อย่างมาก

    ทิศทางที่เหมาะสมที่สุดในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

    • ทิศใต้: เป็นทิศที่ได้รับแสงแดดมากที่สุดตลอดวัน เนื่องจากดวงอาทิตย์โคจรอ้อมผ่านทิศใต้ ทำให้แผงสามารถรับแสงได้เต็มที่และผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด
    • ทิศตะวันออกและตะวันตก: หากมีข้อจำกัดในการติดตั้งทางทิศใต้ เช่น มีสิ่งกีดขวางหรือพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย การติดตั้งแผงหันไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกก็เป็นทางเลือกที่ดี โดยทิศตะวันออกจะได้รับแสงแดดในช่วงเช้า ส่วนทิศตะวันตกจะได้รับแสงแดดในช่วงบ่ายถึงเย็น ประสิทธิภาพโดยรวมจะน้อยกว่าทิศใต้ประมาณ 10-15%
    • ทิศเหนือ: ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งแผงหันไปทางทิศเหนือ เนื่องจากได้รับแสงแดดน้อยที่สุด ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าต่ำ

    มุมเอียงที่เหมาะสมของแผงโซลาร์เซลล์

    การปรับมุมเอียงของแผงให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ตั้งจะช่วยให้แผงรับแสงแดดได้เต็มที่ โดยทั่วไปในประเทศไทย มุมเอียงที่แนะนำมีดังนี้:

    • กรุงเทพฯ และภาคกลาง: ประมาณ 13.5 องศา
    • ภาคเหนือ (เช่น เชียงใหม่): ประมาณ 18.4 องศา
    • ภาคใต้: ประมาณ 10-13 องศา

    การปรับมุมเอียงให้เหมาะสมกับละติจูดของพื้นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 5%

    เคล็ดลับเพิ่มเติมในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

    • หลีกเลี่ยงเงาบดบัง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแผงไม่ได้ถูกเงาของต้นไม้ อาคาร หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ บดบังในช่วงเวลาที่แสงแดดเข้มข้นที่สุด
    • ใช้ระบบ Solar Tracker: หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการรับแสงแดด สามารถพิจารณาใช้ระบบ Solar Tracker ที่สามารถปรับทิศทางของแผงให้หันตามดวงอาทิตย์ตลอดวัน ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 20-30%
    • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การออกแบบและติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ควรได้รับการวางแผนโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความต้องการใช้งานของแต่ละพื้นที่

    การวางแผงโซลาร์เซลล์ในทิศทางและมุมเอียงที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว

    4. คำนวณขนาดระบบให้เหมาะกับการใช้งานจริง

    การคำนวณขนาดระบบโซลาร์เซลล์สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่บ้านเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าระบบสามารถผลิตพลังงานได้เพียงพอต่อการใช้งานและคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาว ต่อไปนี้คือแนวทางการคำนวณที่เหมาะสม:

    ขั้นตอนการคำนวณขนาดระบบโซลาร์เซลล์สำหรับชาร์จ EV

    • 1. คำนวณพลังงานที่ใช้ชาร์จรถ EV ต่อวัน
    • ความจุแบตเตอรี่ของรถ: ตัวอย่างเช่น รถ EV มีแบตเตอรี่ขนาด 40 kWh
    • ระยะทางที่ขับขี่ต่อวัน: สมมติขับขี่ 50 กิโลเมตร/วัน
    • อัตราการใช้พลังงานต่อกิโลเมตร: โดยทั่วไป รถ EV ใช้พลังงานประมาณ 0.2 kWh/กิโลเมตร

    พลังงานที่ใช้ต่อวัน = 50 กม. × 0.2 kWh/กม. = 10 kWh/วัน

    • 2. คำนวณขนาดแผงโซลาร์เซลล์ที่ต้องการ
    • ชั่วโมงแสงอาทิตย์เฉลี่ยต่อวัน: ในประเทศไทยประมาณ 5 ชั่วโมง/วัน

    ขนาดแผงโซลาร์เซลล์ที่ต้องการ = 10 kWh ÷ 5 ชั่วโมง = 2 kW

    เพื่อความมั่นใจในการผลิตพลังงานเพียงพอ ควรเผื่อกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 20%:
    ขนาดแผงโซลาร์เซลล์ที่แนะนำ = 2 kW × 1.2 = 2.4 kW

    เพื่อความมั่นใจในการผลิตพลังงานเพียงพอ คดังนั้น ควรติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาดประมาณ 2.5 kW

    • 3. คำนวณขนาดแบตเตอรี่ (สำหรับระบบที่มีการเก็บพลังงาน)

    หากต้องการเก็บพลังงานไว้ใช้ในช่วงที่ไม่มีแสงแดด (เช่น กลางคืน) ควรพิจารณาติดตั้งแบตเตอรี่:
    ขนาดแบตเตอรี่ที่ต้องการ = 10 kWh (พลังงานที่ใช้ต่อวัน)

    หากต้องการเก็บพลังงานไว้ใช้ในช่วงที่ไม่มีแสงแดด (เช่น กลางคืน) ควรพิจารณาติดตั้งแบตเตอรี่:
    ขนาดแบตเตอรี่ที่ต้องการ = 10 kWh (พลังงานที่ใช้ต่อวัน)

    เพื่อความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ควรเผื่อความจุเพิ่มขึ้นประมาณ 20%:
    ขนาดแบตเตอรี่ที่แนะนำ = 10 kWh × 1.2 = 12 kWh

    • 4. คำนวณขนาดอินเวอร์เตอร์

    อินเวอร์เตอร์ทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้าจาก DC เป็น AC:
    ขนาดอินเวอร์เตอร์ที่ต้องการ = 2.5 kW (ขนาดแผงโซลาร์เซลล์)

    เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต ควรเผื่อกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 25%:
    ขนาดอินเวอร์เตอร์ที่แนะนำ = 2.5 kW × 1.25 = 3.125 kW

    สรุปขนาดอุปกรณ์ที่แนะนำสำหรับการชาร์จรถ EV ที่บ้าน

    อุปกรณ์

    ขนาดที่แนะนำ

    แผงโซลาร์เซลล์

    2.5 kW

    แบตเตอรี่

    12 kWh

    อินเวอร์เตอร์

    3.125 kW

    ทำไมต้องติดโซล่าชาร์จกับ SUNNERGY?

    สรุป: “ติดโซล่าชาร์จ” คือการลงทุนเพื่ออนาคต

    หากคุณใช้รถ EV เป็นประจำ และอยากประหยัดค่าไฟทุกเดือน การ ติดโซล่าชาร์จ คือทางเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ใช้พลังงานสะอาด และเพิ่มความสะดวกในการชาร์จได้ทุกวันจากที่บ้านของคุณเอง

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ติดโซล่าชาร์จ

    Q: บ้านต้องใช้พื้นที่หลังคาเท่าไหร่ถึงจะติดโซล่าชาร์จได้?

    A: โดยทั่วไปจะใช้พื้นที่ประมาณ 15–30 ตร.ม. ขึ้นอยู่กับขนาดระบบและจำนวนแผงที่ต้องการใช้งานร่วมกับรถ EV

    Q: ถ้าบ้านไม่มี Battery Storage จะชาร์จรถตอนกลางคืนได้ไหม?

    A: ถ้าไม่มีแบตเตอรี่ ระบบจะใช้ไฟจากการไฟฟ้าตามปกติในช่วงไม่มีแดด แต่สามารถออกแบบให้ใช้พลังงานโซลาร์ในช่วงกลางวันได้เต็มประสิทธิภาพ

    Q: ระบบโซล่าชาร์จรองรับรถ EV ทุกรุ่นหรือไม่?

    A: รองรับรถ EV ทุกแบรนด์ที่ชาร์จด้วยไฟบ้านมาตรฐาน เช่น BYD, Tesla, MG, ORA ฯลฯ โดยใช้ร่วมกับ EV Charger

    Q: การติดโซล่าชาร์จต้องขออนุญาตหรือไม่?

    A: หากเป็นการติดตั้งเพื่อใช้เองในบ้านทั่วไป ไม่ต้องขออนุญาต แต่ควรแจ้งการไฟฟ้าเพื่อความถูกต้องตามระเบียบ

    Q: คืนทุนในกี่ปี?

    A: ปกติคืนทุนภายใน 4–7 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดระบบ ค่าไฟที่ใช้ และพฤติกรรมการชาร์จ

    ติดต่อและสอบถาม

    sunnergy

    โทร. 061545-5353 / 092-248-2637 / 061-545-5353